[ข้อห้าม หลังฉีดโบท็อก] ปฏิบัติตัวอย่างไรดี ถ้าอยากให้โบท็อกสลายตัวช้า อยู่ได้นานกว่าปกติ

ข้อห้าม หลังฉีดโบท็อก

ความนิยมในการฉีดโบท็อก (โบทูลินั่ม ท็อกซิน) เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกวันนี้ เนื่องจากราคาค่าฉีดไม่แพง โดยปรกติจะอยู่ได้นานประมาณ 4-6 เดือน และยังเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องรอนาน

แต่ถ้าคนไข้ละเลยการปฏิบัติตัวตามขั้นตอนที่เหมาะสม อาจจะส่งผลให้ต้องฉีดโบท็อกบ่อยยิ่งขึ้น ทำให้ต้องเสียเงินมากขึ้น และยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดดื้อโบท็อกง่ายขึ้นอีกด้วย

คุณหมอจะมาเจาะลึกเกี่ยวกับงานวิจัยล่าสุดและสรุปให้ฟังกันในบทความวันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของวิธีการปฏิบัติตัวทั้งก่อนฉีดและหลังฉีดโบท็อกอย่างไรจึงจะทำให้โบท็อกอยู่ได้นานยิ่งขึ้นครับ

สิ่งสำคัญคือกลไกการออกฤทธิ์ของโบท็อกที่คนไข้ควรทำความเข้าใจก่อนเป็นอันดับแรก เพราะจะช่วยให้เข้าใจในวิธีปฏิบัติตัวก่อนฉีด-หลังฉีดโบท็อกว่าทำเพื่ออะไร อีกทั้งเมื่อเข้าใจแล้วจะทำให้จำง่ายขึ้นอีกด้วยครับ

เซลล์ประสาท

โบท็อก คือ โปรตีนในน้ำใส ๆ จะแยกเป็น 2 ส่วน หลังจากที่ฉีดเข้าสู่บริเวณกล้ามเนื้อแล้ว ดังนี้

  •         ส่วนที่ 1 คือส่วนเดียวเท่านั้นที่จะออกฤทธิ์ โดยจะถูกดูดซึมเข้าไปเก็บเอาไว้ในเซลล์ประสาท จะช่วยให้โบท็อกอยู่ได้นานมากขึ้นหากส่วนนี้มีความเข้มข้นสูง
  •         ส่วนที่ 2 คือส่วนที่ไม่ถูกดูดซึม ซึ่งภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงหลังฉีดส่วนนี้จะปลิวไปตามกระแสเลือด ไม่มีผลต่อเซลล์อื่น ๆ ของร่างกาย (เสียไปฟรีๆ) เนื่องจากในที่สุดก็จะถูกขับออกไปจากร่างกาย

ถ้าต้องการให้ส่วนที่ 1 เข้มข้นขึ้น อยู่ได้นานกว่าปกติ และทำให้โบท็อกส่วนที่ 2 ปลิวไปน้อยที่สุด จะมีวิธีปฏิบัติตัวก่อนฉีดโบท็อกอย่างไร

1. ใช้โบท็อกแท้ในการฉีดเท่านั้น

สิ่งสำคัญคือการตรวจสอบว่าเป็น “โบท็อกของแท้” เท่านั้นก่อนฉีดทุกครั้ง

เพราะโบท็อกแท้จะมีการกระจายตัวต่ำ ฉีดจุดไหนจะอยู่จุดนั้น จึงทำให้การปลิวหายไปเกิดขึ้นน้อยลง

หากเป็นคลินิกที่ใช้ของแท้ก็จะยินดีให้ตรวจสอบได้แน่นอน เพื่อให้คนไข้มั่นใจว่าได้ฉีดโบท็อกของแท้จริง ๆ  

  •         ควรเตรียมศึกษาวิธีสังเกตโบท็อกแท้ยี่ห้อต่าง ๆ ก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อกซ์
  •         คนไข้ควรขอให้คุณหมอแกะกล่อง เปิดขวด และทำการผสมโบท็อกให้ดูต่อหน้า
  •         ควรขอกล่องและขวดกลับบ้านหลังฉีดเสร็จ หรือขอถ่ายรูปเก็บไว้ตรวจสอบต่อที่บ้าน

วิธีตรวจสอบโบท็อกแท้-Allergan

หากเปรียบเทียบกับโบท็อกยี่ห้ออื่น ๆ พบว่าโบท็อกอเมริกาจะมีค่าการกระจายตัวต่ำที่สุด แต่ราคาของโบท็อกอเมริกาก็จะสูงกว่าเป็นเท่าตัวเช่นกัน 

ซึ่งคุณหมอได้เขียนอธิบายไว้ในบทความเรื่อง แฉหมดเปลือก ! วิธีการเลือกใช้โบท็อก อเมริกา/อังกฤษ/เกาหลี และกลโกงโบท็อก ! อย่างละเอียดครับ

2. เรื่องของการผสมน้ำเกลือ

โบท็อกแท้ทุกยี่ห้อ อยู่ในรูปแบบสูญญากาศแห้ง ๆ โดยจะไม่มีน้ำ เมื่อจะดูดออกมาฉีดจะต้องใส่น้ำเกลือลงไปละลาย

ปริมาณความเข้มขันที่เหมาะสมคือ น้ำเกลือ 2.6 CC ต่อ โบท็อก 100 ยูนิต หากเจือจางน้ำเกลือมากเกินไป จะส่งผลให้โบท็อกปลิวไปง่ายขึ้น

วิธีตรวจสอบโบท็อกแท้

เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้เจือจางน้ำเกลือมากจนเกินไป คนไข้จึงควรให้แพทย์ผสมโบท็อกต่อหน้าก่อนฉีดทุกครั้ง เพราะเราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นการผสมน้ำเกลือแบบเข้มข้นหรือเจือจาง หากผสมเป็นน้ำแล้วมาฉีดให้เลย

3. เทคนิคที่ใช้ในการฉีด

เหตุที่ควรเลือกทำกับคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญ ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เพราะเพื่อให้สามารถประเมินกล้ามเนื้อที่จะฉีดได้ว่า ความลึกในแต่ละจุดไหนเป็นเท่าไร ซึ่งเป็นจุดที่เซลล์เส้นประสาทมาเกาะกล้ามเนื้อ

หากฉีดไม่ตรงจุด แม้ว่าจะได้ผล แต่ก็จะเห็นผลช้าและอยู่ได้สั้นลงกว่าที่ควร เพราะจะต้องรอโบท็อกแพร่กระจายจากจุดที่ฉีดมายังปลายเซลล์ประสาทครับ

โดยส่วน 2 ที่ปลิวกระจายไปอาจจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาได้ทำให้ดื้อโบท็อกตามมา

4. การฉีดโบท็อกในแต่ละครั้ง ไม่ควรใช้จำนวนยูนิตเกิน 300 ยูนิต

  •         หลีกเลี่ยงเทคนิคการฉีดที่ไม่ได้ฉีดโบท็อกเข้าในกล้ามเนื้อโดยตรง เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการดื้อยา
  •         จะเพิ่มโอกาสที่ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานได้ง่ายขึ้น หากใช้จำนวนยูนิตเกิน
  •         หลีกเลี่ยงการใช้จำนวนยูนิตน้อยเกินไปในแต่ละจุด เนื่องจากจะทำให้หมดฤทธิ์ไว ซึ่งต้องฉีดบ่อยขึ้น และจะเสี่ยงต่อการดื้อโบท็อกได้อีกด้วย

โดยคุณหมอจะเป็นผู้ประเมินและแจ้งแก่คนไข้ในแต่ละเคสให้ทราบถึงปริมาณยูนิตที่เหมาะสมที่ควรใช้ในการฉีด

5. ควรประคบเย็น ระหว่างการฉีด

ระหว่างฉีดควรประคบด้วยความเย็น เพื่อช่วยลดการไหลเวียนของเส้นเลือดบริเวณที่ฉีดโดยรอบ และจะช่วยให้โบท็อกไม่ปลิวออกไป แต่อยู่เฉพาะจุดที่หมอต้องการจะฉีดได้อีกด้วย

การปฏิบัติตัว หลังฉีดโบท็อก อย่างไรเพื่อช่วยให้ โบท็อกสลายช้าที่สุด

6.1 ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง หลังฉีดโบท็อกทันที

ควรบริหารกล้ามเนื้อทั้งหมดที่ฉีดเป็นเวลา 30 นาที เพื่อให้เซลล์ประสาทดูดโบท็อกเข้าไปให้มากที่สุด เหลือส่วนที่จะปลิวไปน้อยที่สุด หลังจากที่ฉีด botox เสร็จแล้วทั้งหมด

แต่ในช่วงที่เราขยับกล้ามเนื้อหลังฉีดเสร็จนั้นไม่ควรประคบเย็น เนื่องจากจะไปขัดขวางการดูดโบท็อกเข้าเซลล์ประสาท

นั่นคือ ตอนฉีดเราใช้ความเย็นบล็อกรอบ ๆ เพื่อช่วยให้โบท็อกอยู่เฉพาะจุดที่ต้องการฉีด ถัดจากนั้นหลังฉีด botox ทันทีคนไข้จึงขยับกล้ามเนื้อเพื่อช่วยดึงให้โบท็อกเข้าเซลล์

รีวิวโบท็อกหน้าผาก-โบท็อกหางตา-โบท็อกขมวดคิ้ว

ตัวอย่างรีวิวผลการรักษาด้วยโบท็อก

คนไข้ควรรีบขยับกล้ามเนื้อหลังฉีดเสร็จ ดังในรูปฝั่งซ้ายมือทันที รวมถึงหลังฉีดควรใช้วิธีเคี้ยวหมากฝรั่งหรือกัดฟันทันทีหากฉีดโบท็อกกราม

6.2 ควรงดนอนราบ 3 ชั่วโมง หลังฉีดโบท็อก

สามารถเกิดหน้าบวมขึ้นได้ ซึ่งเป็นอาการปรกติหลังฉีดโบท็อก คนไข้ควรดูแลตัวเองไม่ควรไปแกะ เกา หรือนวดในบริเวณที่ฉีด

และควรหลีกเลี่ยงการก้มหัวลงต่ำกว่าระดับหัวใจ เนื่องจากจะทำให้โบท็อกปลิวไปเยอะขึ้น จะทำให้เลือดไหลเวียนไปที่หน้ามากขึ้น

กว่าที่จะเริ่มเห็นผลอาจใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน สำหรับโบท็อกส่วนที่ 1 ที่อยู่ในเซลล์ประสาท ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งกล้ามเนื้อ หลังจากนั้น ความเข้มข้นของโบท็อก และการยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ จะค่อย ๆ ลดลงไปตามกาลเวลา  โบท็อกจะย่อยสลายไวขึ้นมีปัจจัยสำคัญคือ การไหลเวียนของเลือด (Metabolism) และความร้อน

7.1 หลีกเลี่ยงการเจอกับความร้อนทุกชนิด รวมถึงกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง

กิจกรรมต่าง ๆ เช่น เข้าซาวน่า, ออกกำลังกายหนักๆ, ตากแดด, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, เลเซอร์ร้อนที่ลงผิวชั้นลึกทุกชนิด เช่น RF thermage คือสิ่งที่ควรงดเว้น รวมถึงควรงดนอนคว่ำ, งดก้มหัวต่ำกว่าอก  โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังฉีด (หรือขอให้งดอย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังฉีดถ้าทำไม่ได้จริง ๆ )

ห้ามดื่มเหล้าเบียร์

หลังฉีดโบท็อกในช่วง 14 วัน ห้ามกินอะไรบ้าง (หากทำไม่ได้ ควรงดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง)

  •         งดอาหารที่เผ็ดมาก ๆ แสบร้อนจนหน้าแดง
  •         งดอาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ หมูกระทะ ปิ้งย่าง ชาบู
  •         งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เหล้า เบียร์ ไวน์ น้ำหมัก
  •         งดอาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า หน่อไม้ดอง มะม่วงดอง เพราะมีสารที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัว
  •         งดสูบบุหรี่ ในบุหรี่มีสารหลายชนิดที่ขยายหลอดเลือด

กิจกรรมเหล่านี้จะส่งผลต่ออายุของโบท็อกอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก เมื่อพ้นช่วงเวลา 2 สัปดาห์ไปแล้ว

หากแต่กิจกรรมที่เข้าซาวน่า และการทำเลเซอร์ร้อนจะยังมีผลมากที่สุด

สำหรับกิจกรรมการออกกำลังกาย ไม่จำเป็นต้องงด แค่หลีกเลี่ยงความร้อนเท่าที่ทำได้ก็เพียงพอแล้ว เพราะออกกำลังกายดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ผิวใสขึ้น

ออกกำลังกายซาวน่า

ระยะเวลา 14 วันหลังฉีดโบท็อก ควรหลีกเลี่ยงความร้อน หากทำไม่ได้ก็ขออย่างน้อย 48 ชั่วโมงหลังฉีด  รวมทั้งกิจกรรมทุกชนิดที่ทำให้หน้าแดง

7.2 กรณีที่มีคอร์สเลเซอร์ ทำหน้า นวดหน้า ที่ต้องทำอยู่แล้วเป็นประจำ

ควรทำเลเซอร์ นวดหน้า หรือทำหน้ามาให้เรียบร้อยก่อนที่จะมาฉีดโบท็อก เพราะหลังฉีดโบท็อกกว่าจะไปทำหน้าได้อีกนั้นจำเป็นต้องงดไป 2 สัปดาห์

จะต้องอาศัยแร่ธาตุ สังกะสี (zinc) เป็นปัจจัยสำคัญ ในการทำงานของโบท็อกที่อยู่ในเซลล์ประสาท

จากการสำรวจพบว่า 30% ของชาวเมริกัน มีอาการขาดธาตุสังกะสี ซึ่งจะส่งผลให้โบท็อกออกฤทธิ์ได้น้อยลงและช้าลง (แต่ยังไม่มีการสำรวจในคนไทย) รวมทั้งผลการฉีดโบท็อกอยู่ได้สั้นลงอีกด้วย  https://www.ncbi.nlm.nih.gov/m/pubmed/22453589/

8. งานวิจัยพบว่า การกินแร่ธาตุสังกะสี (zinc) 50 mg ก่อนและหลังการฉีดโบท็อก สามารถช่วยให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้น ช่วยให้โบท็อกออกฤทธ์ดีขึ้นและไวขึ้น

แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงของโบท็อกได้มากขึ้นในบางเคส เนื่องจากเสริมฤทธิ์รุนแรงจนเกินไปครับ

แนะนำให้กินธาตุสังกะสีตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น ถ้าจะกินในปริมาณมาก

ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะใช้ในคนไข้รายที่เริ่มดื้อโบท็อก (อาการคือฉีดแล้วอยู่ได้ไม่นาน) หรือรายที่มีอาการขาดแร่ธาตุสังกะสีชัดเจนเท่านั้น

หากคนไข้กินธาตุสังกะสีจากอาหาร หรือกินในปริมาณปรกติ นั่นคือไม่เกิน 15-20 mg/วัน ดังที่ Thai RDA กำหนด จะสามารถกินเสริมได้ตามปรกติ

นอกจากนี้ หากสังเกตตัวเองแล้วพบว่ามีอาการขาดธาตุสังกะสี แนะนำให้กินก่อนหรือหลังฉีดโบท็อกได้ครับ จะช่วยให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้น ซึ่งอาการดังกล่าวจะมีลักษณะคือ ผมร่วงแตกปลาย, เล็บแห้งเปราะหักง่าย,  เป็นแผลเรื้อรัง, ผิวแห้งลอก และเป็นผื่นง่าย

หอยนางรม

ข้อมูลเกี่ยวกับแร่ธาตุสังกะสีในอาหาร

  •         ไข่แดง 1.5 mg/100 g
  •         เนื้อสัตว์ อาหารทะเล 1.5-4 mg/100 g
  •         ตับ 4-7 mg/100 g
  •         หอยนางรม 75 mg/100 g
  •         ในพืชผักผลไม้ มีปริมาณสังกะสีน้อย และดูดซึมได้ยาก

ดังข้อมูลข้างต้น คาดว่าน่าจะมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่อาจจะขาดแร่ธาตุสังกะสี ซึ่งในคนที่อายุมากขึ้นก็จะยิ่งมีความเสี่ยงที่จะขาดธาตุสังกะสีมากขึ้นด้วย

หลังฉีดโบท็อกแล้วผลที่ได้จะอยู่ได้นานขึ้น  ถ้ากล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานต่อเนื่องนาน ๆ เมื่อเวลาผ่านไปขนาดกล้ามเนื้อจะเล็กลง และจะกลับมาทำงานได้ยากขึ้น  ตรงข้ามกับผู้ที่ชอบยิ้มบ่อย เลิกคิ้วบ่อย และเคี้ยวอาหารเหนียวนาน ๆ เกินความจำเป็น โบท็อกจะอยู่ได้สั้นลง เพราะพฤติกรรมเหล่านี้จะไปทำให้กล้ามเนื้อถูกกระตุ้นให้ใช้งานบ่อย จนกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น

9. การฉีดโบท็อกควรทำอย่างต่อเนื่อง ในระยะที่เหมาะสม ไม่ฉีดบ่อยไปหรือเว้นห่างเกินไป

  •         ไม่ฉีดถี่จนเกินไป อย่างต่ำควรเว้น 3เดือน
  •         ไม่ควรเว้นเกิน 5-6 เดือน สาเหตุที่ไม่ควรเว้นระยะห่างเกินไปเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อกลับมาทำงานได้ปกติ จนอาจจะต้องใช้ยูนิตของโบท็อกเยอะขึ้นในการฉีด

10. ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อที่ฉีดทันที 1-2 ครั้ง หลังจากฉีดโบท็อกในแต่ละจุด

หลังจากฉีดเสร็จ คนไข้ควรบริหารกล้ามเนื้อทั้งหมดที่ฉีด นานประมาณ 20 นาที

และการดูแลตัวเองหลังฉีดเสร็จแล้วคือ ควรพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมโดยขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดให้น้อยลง เช่น พยายามไม่เคี้ยวปลาหมึกแห้ง หรืออาหารเหนียว ๆ เนื่องจากหากคนไข้กระตุ้นกล้ามเนื้อบ่อย ๆ จะทำให้เซลล์เส้นประสาทงอกขึ้นมาใหม่ได้  ซึ่งเซลล์ประสาทที่งอกมาใหม่นั้นจะสามารถขยับกล้ามเนื้อได้ แม้โบท็อกจะยังไม่หมดฤทธิ์ก็ตาม

การขยับกล้ามเนื้อยังสามารถส่งผลให้โบท็อกส่วนที่ 1 ที่ถูกเก็บไว้ในเซลล์ประสาทสลายไปได้ไวขึ้น เนื่องจากจะไปเพิ่มการไหลเวียนกระแสเลือดในบริเวณที่ฉีด

สรุปข้อปฏิบัติตัวในแต่ละช่วงเวลา ของการฉีดโบท็อก

สรุป-timeline-ข้อปฎิบัติตัวในการฉีดโบท็อก-1

timeline-ข้อปฎิบัติตัวในการฉีดโบท็อก-2ก่อนฉีดโบท็อก

  •         หากคนไข้มีข้อห้ามในการฉีดโบท็อกให้ปรึกษาแพทย์
  •         เนื่องจาก หลังฉีดจะต้องงดไป 2 อาทิตย์ จึงจะทำหน้าต่อได้ ดังนั้น หากมีคอร์สนวดหน้า ทำหน้า หรือคอร์สเลเซอร์ที่ต้องทำเป็นประจำ ควรถือโอกาสทำมาให้เรียบร้อย ก่อนเข้ารับการฉีดโบท็อก
  •         ในช่วง 2-3 วันก่อนฉีดโบ ควรงดกินยาในกลุ่มที่ลดการแข็งตัวของเลือดเช่น NSAIDs, แอสไพริน รวมถึงควรงดการสครับหน้า เพื่อช่วยลดโอกาสที่จะเกิดอาการเขียวช้ำบริเวณที่ฉีด
  •         ควรศึกษาข้อมูลวิธีสังเกต โบท็อกแท้ ดังข้อมูลด้านบนใน ข้อ 1. และ ข้อ 2.
  •         เลือกฉีดในคลินิกที่ได้มาตรฐาน กับคุณหมอที่มีความเชี่ยวชาญตาม ดังข้อมูลด้านบนใน ข้อ 3, ข้อ 4.
  •         หากอยากให้โบท็อกออกฤทธิ์ได้ไวขึ้น  ในผู้ที่มีอาการขาดธาตุสังกะสี (ดังข้อมูลด้านบนใน ข้อ 8.) ควรเริ่มกินอาหารที่มีธาตุสังกะสี หรือกินอาหารเสริม ในปริมาณที่ไม่เกิน 20 mg/วัน ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องกินก่อนฉีด สามารถกินหลังฉีดก็ได้เช่นกัน เพราะจะสามารถช่วยให้โบท็อกอยู่ได้นานขึ้น

ระหว่างฉีดโบท็อก

  •         คนไข้ควรรีบขยับเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดทันทีประมาณ 1-2 ครั้ง หลังฉีดโบท็อกลดกราม รวมทั้งในบริเวณอื่น ๆ เสร็จทันที (ดังข้อ 6.1)
  •         คนไข้ควรบริหารกล้ามเนื้อทั้งหมดบริเวณที่ฉีด เช่น เคี้ยวหมากฝรั่ง ยักคิ้ว ขมวดคิ้ว ยิ้มเยอะ ๆ เป็นระยะเวลา 30 นาทีโดยประมาณ หลังจากฉีดเสร็จทั้งหมด

หลังฉีดโบท็อก 3 ชั่วโมง

  •         การป้องกันไม่ให้ความเย็นไปขัดขวางการดูดโบท็อกเข้าเซลล์ประสาท  คนไข้จึงไม่ควรประคบเย็น ดังในข้อ 6.1
  •         หลีกเลี่ยงการก้มหัวลงต่ำกว่าระดับหัวใจ รวมถึงไม่ควรนอนราบ ดังในข้อ 6.2

หลังฉีดโบท็อก 24 ชั่วโมง

  •         คนไข้สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ รวมถึงการทาครีมทับบริเวณรอยเข็มได้

หลังฉีดโบท็อก 48 ชั่วโมง

  •         จะได้รับผลลัพธ์ที่ดีจากโบท็อก ถึง 90 % จากปรกติแล้ว ถ้าสามารถหลีกเลี่ยงการโดนความร้อนและอาหารต้องห้าม ตามข้อ 7.1, ข้อ 7.2 ได้

หลังฉีดโบท็อก 2-3 วัน

  •         หลังครบ 2-3 วัน คนไข้บางรายจะเริ่มเห็นผลจากการฉีดลดริ้วรอยบางส่วน
  •         คนไข้บางราย อาจเกิดผลข้างเคียงชนิดไม่อันตราย ได้แก่ ปวดหัว ตาพร่า คอแห้ง อันเป็นเพียงแค่ผลข้างเคียงชั่วคราว อาการปวดหัวสามารถประคบเย็นได้ สามารถหายไปเองได้ภายใน 7-14 วัน แต่ถ้าหากอาการเป็นมากควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจรักษาต่อไป

หลังฉีดโบท็อก 7-10 วัน

  •         หน้าอาจบวมได้เล็กน้อยหลังฉีดโบ ซึ่งไม่ควรประคบร้อน รอยเขียวช้ำอาจจะยังมีอยู่บ้าง แต่ภายในระยะเวลา 14 วันจะค่อย ๆ จางหายไปเอง

หลังฉีดโบท็อก 14 วัน

  •         จะได้รับผลลัพธ์ที่ดีจากโบท็อก ถึง 90 % จากปรกติแล้ว หากคนไข้สามารถหลีกเลี่ยงการโดนความร้อนและอาหารต้องห้าม ตามข้อ 7.1, ข้อ 7.2 ได้
  •         จะเห็นผลจากการฉีดโบท็อกลดริ้วรอยเกือบเต็มที่แล้ว เมื่อครบ 14 วัน
  •         เห็นผลจากการฉีดโบท็อกลดกรามคือ กัดกรามจะไม่เด้ง เมื่อครบ 14 วัน แต่กรามจะยังไม่ยุบลง ถ้าจะให้กรามยุบเต็มที่ต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือน

หลังฉีดโบท็อก 14 วัน จนถึงการฉีดโบท็อกครั้งต่อไป

  •         ควรรับประทานอาหารหรืออาหารเสริมที่มีแร่ธาตุสังกะสี ดังข้อ 8.
  •         ควรฉีดโบท็อกอย่างต่อเนื่องในระยะที่เหมาะสม ไม่ฉีดถี่เกินไป อย่างน้อยควรเว้น 3 เดือน และไม่เว้นระยะห่างนานจนเกินไป ไม่ควรเว้นเกิน 5-6 เดือน ดังข้อ 9.
  •         ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการขยับกล้ามเนื้อจุดที่ฉีดโบท็อกให้น้อยลงกว่าที่เคย ดังข้อ 10.
  •         ควรหลีกเลี่ยงความร้อน และยังสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ

[ข้อห้ามการฉีดโบท็อก] อ้างอิงจาก

https://www.allergan.com/miscellaneous-pages/allergan-pdf-files/botox_med_guide

https://www.drugs.com/drug-interactions/onabotulinumtoxina,botox-index.html

ข้อห้ามของการฉีดโบท็อก แบบที่ไม่สามารถฉีดได้ (Absolute contraindication)

  •         ผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงต่าง ๆ เช่น
    • amyotrophic lateral sclerosis (ALS)
    • Lou Gehrig’s disease
    • myasthenia gravis
    • Lambert-Eaton syndrome
  •         ผู้ที่มีปัญหาเรื่อง โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ อาจมีอันตรายถึงชีวิต เช่น โรคถุงลมโป่งพอง โรคหอบหืด
  •         ผู้ที่มีภาวะติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หรือมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  •         ผู้ที่มีปัญหาเรื่อง กล้ามเนื้อในการกลืน
  •         ผู้ที่มีอาการติดเชื้อที่ผิวหนังในจุดที่จะฉีดโบท็อก

ข้อห้ามการฉีดโบท็อก แบบที่ควรระวัง

สามารถฉีดได้ แต่จะต้องปรึกษาแพทย์ก่อน

  •         ในผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปี ยังไม่มีการศึกษาที่รับรองความปลอดภัยของการฉีดโบท็อก
  •         สำหรับที่มีอายุอยู่ในช่วง 12-18 ปี มีการศึกษารับรองความปลอดภัยในบางกรณีเท่านั้น ฉะนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน
  •         ผู้ที่เคยมีประวัติแพ้ส่วนผสมของโบท็อก

ในโบท็อก ประกอบด้วย : Botulinum toxin type A, Human albumin, Sodium chloride

ก่อนฉีดโบท็อก มีข้อมูลอื่นๆ ที่คนไข้ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ

  •         หากเคยทำหัตถการต่าง ๆ ที่เคยทำบนใบหน้ามาก่อน เช่น ร้อยไหม เมโส โบท็อก ฟิลเลอร์ เลเซอร์ชนิดต่าง ๆ
  •         เป็นผู้อยู่ในภาวะตั้งครรภ์ ซึ่งในทุกวันนี้ยังไม่มีการศึกษายืนยันว่า โบท็อกเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ไหม
  •         เป็นผู้ที่อยู่ในช่วงการให้นมบุตร ซึ่งในทุกวันนี้ยังไม่มีการศึกษายืนยันว่า โบท็อกสามารถผ่านไปทางน้ำนมแม่ได้ไหม
  •         คนไข้เคยมีผลข้างเคียงมาก่อน ในการฉีดโบท็อกครั้งก่อน ๆ ที่ผ่านมา
  •         หากเป็นผู้มีภาวะเลือดหยุดยาก เขียวช้ำง่าย
  •         มีกำหนดการที่จะเข้ารับการผ่าตัดในอนาคต
  •         คนไข้เคยเข้ารับการผ่าตัดที่ใบหน้ามาก่อน
  •         หากเป็นผู้มีภาวะหนังตาตกอยู่

ควรแจ้งเกี่ยวกับยาที่คนไข้กำลังใช้อยู่ในปัจจุบันให้แพทย์ทราบ

ยาที่หากได้รับพร้อมกับโบท็อกแล้วจะเกิดอันตรายมาก (Major side effect) อันได้แก่

กลุ่มยาฆ่าเชื้อ ”แบบฉีด” บางตัว สามารถเสริมฤทธิ์โบท็อกแล้วทำให้เกิดอันตรายได้ จึงห้ามใช้ร่วมกับโบท็อก

amikacin, colistin, polymyxin E, gentamicin, kanamycin, neomycin, netilmicin, plazomicin, polymyxin B, spectinomycin, streptomycin, tobramycin.

กลุ่มยาคลายกล้ามเนื้อ atracurium, cisatracuirum, doxacurium, metocurine, mivacurium, pancuronium, pipecuronium, rapacuronium, rocuronium, succinylcholine, tubocurarine, vecuronium.

ยาฆ่าเชื้อและยาคลายกล้ามเนื้อที่อยู่นอกเหนือจากรายการข้างบนนี้ สามารถใช้ร่วมกันกับโบท็อกได้โดยไม่เป็นอันตรายครับ

กลุ่มยาที่ใช้ร่วมกับโบท็อกแล้วอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงในระดับปานกลาง แต่ไม่เป็นอันตราย อาทิเช่น ปากแห้ง ตาพร่า รอยช้ำ (ซึ่งหากมีอาการรุนแรง คนไข้สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อปรับชนิดยาที่ใช้ได้) ได้แก่ กลุ่มยาต้านเกร็ดเลือด, กลุ่มยาแก้หวัด แก้แพ้ รวมถึงกลุ่มยานอนหลับ

หลังฉีดโบท็อกไปในระยะ 4 เดือน หากคนไข้จะรับยาตัวอื่นเพิ่มเติม ต้องแจ้งแพทย์ที่จะจ่ายยาให้ทราบด้วยว่าเพิ่งฉีดโบท็อกมาครับ

ตัวอย่างผลการปรับรูปหน้า โดยทีมแพทย์ V Square Clinic

รีวิวโบท็อกลดกรามหน้าเรียว-แฟตลดแก้ม

ตัวอย่างรีวิว ผลการรักษาด้วยโบท็อกลดกรามหน้าเรียว และเมโสแฟตลดแก้ม

โบท็อกลดกราม-100-unit

ตัวอย่างรีวิว ผลการรักษาด้วยโบท็อกลดกราม 100 Unit

รีวิวโบท็อก

ตัวอย่างรีวิว ผลการรักษาด้วยโบท็อกลดกราม หน้าเรียว

เอกสารอ้างอิง

  1. Mark Hallett. (2015). Explanation of Timing of Botulinum Neurotoxin Effects, Onset and Duration, and Clinical Ways of Influencing Them. แหล่งข้อมูล:https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4658210/?report=classic
  2. Briefel RR, Bialostosky K, Kennedy-Stephenson J, McDowell MA, Ervin RB, Wright JD. (1988-1994). Zinc intake of the U.S. population: findings from the third National Health and Nutrition Examination Survey, The Journal of nutrition. 2000 May;130(5S Suppl):1367S–73S.
  3. นพ. วัลลภ พรเรืองวงศ์. (2522). พบคนไทยเสี่ยงขาดธาตุสังกะสี(zinc). แหล่งข้อมูล:https://www.gotoknow.org/posts/304343
  4. Flynn TC. Am J Clin Dermato. (2010). Botulinum toxin: examining duration of effect in facial aesthetic applications. แหล่งข้อมูล:https://www.ncbi.nlm.nih.gov/m/pubmed/20369902/
  5. Eleopra R, Tugnoli V, De Grandis D, (1997).The variability in the clinical effect induced by botulinum toxin type A: the role of muscle activity in humans. Mov Disord 12(1) 89–94.
  6. Simpson L, (2013). The life history of a botulinum toxin molecule. Toxicon Jun 68:40–59.

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.vsquareclinic.com/