เสริมจมูกคืออะไร? อันตรายไหม เหมาะกับใครบ้าง จมูกทรงไหนที่กำลังมาแรง 2023

 เสริมจมูก

จมูกนับว่าเป็นอวัยวะหนึ่งที่โดนเด่นบนใบหน้า หากใครที่มีทรงจมูกสวย ก็จะทำให้ใบหน้าโดยรวมดูสมส่วน มีมิติ  แต่สำหรับคนที่มีจมูกแบน จมูกกว้าง ไม่มีดั้งก็จะทำให้คุณขาดความมั่นใจในตัวเองได้ การเสริมจมูกจึงถือว่าเป็นการผ่าตัดยอดนิยมสำหรับคนที่ไม่มีความมั่นใจในทงรจมูกของตัวเอง หรือคนที่มีทรงจมูกผิดรูปมาตั้งแต่กำเนิด  สำหรับใครที่สนใจเสริมจมูกแต่ไม่รู้รายละเอียดว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร ในบทความนี้จะมาบอกเล่าเกี่ยวกับการเสริมจมูกอย่างละเอียด การเสริมจมูกคืออะไร? เสริมจมูกมีกี่แบบ? อันตรายไหม? ใครบ้างเหมาะกับการเสริมจมูก? รวมไปถึงการเตรียมตัวก่อน-หลังการเสริมจมูก เพื่อเป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจ

เสริมจมูก คืออะไร ?

การเสริมจมูก (Rhinoplasty) คือการทำศัลยกรรมที่เน้นปรับรูปร่างของจมูกให้มีมิติทั้งส่วนปลายจมูก สันจมูก เพื่อเพิ่มความโด่ง หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือเสริมเพื่อความสวยงามนั่นเอง นอกจากนี้การเสริมจมูกยังสามารถทำได้ในคนที่มีปัญหาที่เกี่ยวกับการหายใจที่ผิดปกติอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุหรือความบกพร่องแต่กำเนิดได้ด้วยเช่นกัน การเสริมจมูกที่เรารู้จักกันดีและมักจะเป็นภาพจำของคนส่วนใหญ่ คือการเสริมจมูกด้วยซิลิโคน แต่ในปัจจุบัน วงการศัลยกรรมได้มีการพัฒนาไปไกลมาก ทำให้มีวัสดุเสริมจมูกที่หลากหลาย เช่น การใช้กระดูกอ่อน อย่างกระดูกอ่อนหลังหู, กระดูกอ่อนซี่โครง หรือวัสดุจากเนื้อเยื่อเทียมที่สังเคราะห์ขึ้นจากคอลลาเจน หรือแม้แต่วัสดุซิลิโคนเอง ก็มีให้เลือกหลายเกรดมากกว่าในอตีต ที่นิยมเลยคือ ซิลิโคนอเมริกา, ซิลิโคนเกาหลี และซิลิโคนญี่ปุ่น 

เสริมจมูกมีกี่แบบ ?

ไม่เพียงแต่วัสดุทีใช้เสริมจมูกเท่านั้น แต่วิธีการเสริมจมูกก็ได้มีวิวัฒนาการด้วยเช่น ปัจจุบันวิธีการเสริมจะมีด้วยกัน 2 วิธีคือ การเสริมจมูกแบบปิด (Close Rhinoplasty) และการเสริมจมูกแบบเปิด  (Opened Rhinoplasty)

การเสริมจมูกแบบปิด (Close Rhinoplasty)

การเสริมจมูกแบบปิด (Closed Rhinoplasty) คือ การเสริมจมูกแบบทั่วไป จะมีการเปิดแผลบริเวณภายในรูจมูกทั้ง 2 ข้าง และใส่วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกไปในตำแหน่งที่ต้องการ หลังจากนั้นแพทย์จะทำการเย็บแผลเป็นลำดับสุดท้าย ใช้เวลาในการทำไม่นาน เฉลี่ย 1-2 ชม. เท่านั้น  การเสริมจมูกแบบปิดจะเป็นการเสริมตั้งแต่สันจมูกถึงปลายจมูก เพื่อป้องกันผลข้างเคียงไม่แนะนำให้ใส่ซิลิโคนที่ยาวเกินไป เพราะอาจทำให้เสี่ยงต่อการทะลุได้ 

การเสริมจมูกแบบเปิด  (Opened Rhinoplasty)

การเสริมจมูกแบบโอเพ่น (Open Rhinoplasty)  คือ การเสริมจมูกที่มีเปิดแผลจากด้านหน้าตรงบริเวณฐานรูจมูกทั้งสองข้าง การเสริมจมูกวิธีนี้จะเห็นโครงสร้างของจมูกทั้งหมด ทำให้แพทย์สามารถแก้ไขโครงสร้างภายในจมูกได้ง่าย สามารถแก้ไขทรงจมูกได้หลายปัญหา เช่น ตอกฐานจมูก, เสริมจมูกยืดผนังกั้นจมูก, ตกแต่งกระดูกฐานจมูกให้มีขนาดเล็กลง, ตัดปีกจมูกให้สวยงามและเข้ารูปขึ้น, ปรับแต่งปลายจมูกให้ดูเรียวเล็ก นอกจากนี้ยังสามารถแก้ทรงจมูกในคนไข้ที่เคยผ่าตัดเสริมจมูกมาแล้วผิดพลาด จมูกเบี้ยว จมูกเอียง จมูกฮัมพ์สูง หรือในคนที่เคยแก้จมูกมาแล้วหลายครั้ง จนทำให้โครงสร้างเดิมเสียหาย

วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูก

ปัจจุบันวัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกมีให้เลือกเยอะขึ้น ทั้งจากวัสดุสังเคราะห์ และวัสดุที่เป็นกระดูกอ่อนของเราเอง ซึ่งในแต่ละเคสแพทย์จะเป็นคนประเมินว่าเราเหมาะสำหรับเสริมจมูกด้วยวัสดุชนิดไหน   
  • ซิลิโคน
  ซิลิโคนก็จะสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ  ซิลิโคนแบบสำเร็จรูปที่จะขึ้นเป็นทรงมาให้แล้ว และซิลิโคนแบบเหลาเอง แพทย์จะเป็นคนดีไซน์ให้เข้ากับรูปจมูกแต่ละเคส ที่นิยมคือซิลิโคนอเมริกา, ซิลิโคนเกาหลี และซิลิโคนญี่ปุ่น ซึ่งล้วนแต่เป็นซิลิโคนที่ผ่าน FDA หรือ อย. ของประเทศผู้ผลิต มีความปลอดภัย ไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน (Biocompatibility)  
  • กระดูกอ่อน
  การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนค่อนข้างที่จะได้รับความนิยมไม่แพ้ซิลิโคน เนื่องจากมีความปลอดภัย เสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ได้น้อย ที่สำคัญคือให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด โดยกระดูกอ่อนที่นำมาใช้จะมาจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเราเองเช่น กระดูกอ่อนจากใบหู, กระดูกอ่อนซี่โครง และกระดูกอ่อนจากผนังกั้นจมูก  เป็นต้น  
  • เนื้อเยื่อเทียม
  หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นหูกับการเสริมจมูกด้วยเนื้อเยื่อเทียมมากนัก เนื้อเยื่อเทียม คือวัสดุที่สังเคราะห์ขึ้นจากคอลลาเจน มีลักษณะเป็นแผ่นนิ่ม ๆ มีโครงข่ายคล้ายนั่งร้านซ้อนไขว้กันไปมาเช่นเดียวกับโครงสร้างผิว นิยมนำมาใช้เสริมรองปลายจมูกเพื่อป้องกันการทะลุ เหมาะสำหรับคนที่มีเนื้อจมูกน้อย มีผิวหนังบาง หรือคนที่เสริมใหม่เเละต้องการให้มีปลายที่ยาวขึ้น

ใครที่เหมาะสำหรับการเสริมจมูก

  • คนที่มีทรงจมูกไม่สวย ไม่สมดุลกับรูปหน้า เช่น จมูกแบน, จมูกสั้น, จมูกกว้าง, จมูกบาน, ปีกจมูกใหญ่, จมูกเบี้ยว, จมูกเอียง,จมูกฮัมพ์สูง จมูกงุ้ม หรือรูจมูกไม่เท่ากัน
  •  เป็นต้น
  • คนที่เคยผ่านการผ่าตัดเนื้อเนื้องอกจมูก จากความพิการที่เป็นมาแต่กำเนิด หรือจมูกได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
  • คนไข้ควรมีอายุ 18-20 ปีขึ้นไป เพราะในช่วงนี้จมูกใบหน้าจะเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
  • ไม่ได้อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
  • คนที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ถาวร ดูเป็นธรรมชาติ 

เสริมจมูก อันตรายไหม ?

ความกลัวจากการเสริมจมูกถือว่าเป็นเรื่องปกติ  เพราะถือว่าเป็นการผ่าตัดอย่างหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีความเสี่ยงหรือผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว และเป็นการนำวัสดุสังเคราะห์อย่างซิลิโคนมาใส่ ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรือแม้แต่การเสริมจมูกด้วยกระดูกอ่อนของตัวเราเอง ที่ถ้าทำกับแพทย์ที่ไม่มีความชำนาญ ก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงได้ ถ้าจะให้พูดง่าย ๆ คือการเสริมจมูกจะมีอันตรายก็ต่อเมื่อเราเสริมจมูกกับหมอที่ไม่มีความชำนาญ ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางหรือเสริมจมูกกับคลินิกที่มีเครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัดไม่สะอาด ไม่มีห้องฆ่าเชื้อหรือห้องที่ใช้สำหรับการผ่าตัดโดยเฉพาะ ที่สำคัญไม่ควรเสริมจมูกกับคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน เปิดบริการโดยไม่มีใบอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมาย

เสริมจมูกผู้ชาย เสริมจมูกผู้หญิง แตกต่างกันไหม ?

หลายคนอาจเข้าใจว่าการเสริมจมูกผู้ชายกับเสริมจมูกผู้หญิงนั้นมีวิธีเหมือนกัน แต่ความจริงมีข้อแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย ผู้ชายจะมีกระดูกที่ใหญ่กว่า สันจมูกมีฮัมพ์สูง และมีเนื้อจมูกหนากว่าผู้หญิงเล็กน้อย ทำให้เทคนิคที่ใช้ในการเสริมจมูกนั้นแตกต่างกัน รวมไปถึงทรงจมูกผู้ชายจะเน้นทรงที่มีความโด่ง เพื่อเพิ่มความคมให้ใบหน้า ในขณะที่ผู้หญิงจะเน้นทรงจมูกที่มีความสโลป ดูเป็นธรรมชาติ ไม่โด่งจนเกินไป เน้นความละมุน  

สรุปข้อดี – ข้อเสีย ของการเสริมจมูกแบบเปิดและแบบปิด

เสริมจมูกแบบเปิด ข้อดี – ข้อเสีย

ข้อดี
  • แพทย์สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด เพราะเห็นโครงสร้างจมูกชัดเจน 
  • โอกาสที่จมูกจะเอียงหรือเบี้ยวมีน้อย ไม่เสี่ยงซิลิโคนทะลุ 
  • เหมาะกับการเสริมจมูกทุกเคส สามารถแก้ทรงจมูกได้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่ปัญหาฐานจมูกเบี้ยว เอียง, ยืดจมูกให้ยาวขึ้น, ปรับองศา ปลายจมูก, คนที่มีปีกจมูกกว้าง จมูกบาน, จมูกฮัมพ์สูง, จมูกงุ้ม 
  • ให้ผลลัพธ์ถาวรและดูเป็นธรรมชาติ 
  • ทำจมูกได้หลายทรง สามารถทำได้ทั้งทรงจมูกผู้ชายและทรงจมูกผู้หญิง เช่น ทรงหยดน้ำ, ทรงจมูกสโลปปลายพุ่ง, ทรงจมูกเกาหลี, ทรง Dolly Nose, ทรง Sweetie, ทรงบาร์บี้ไลน์ เป็นต้น
  • สามารถปรับกระดูกคดและกระดูกโป่ง ที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิดหรือจากอุบัติเหตุ กระดูกจมูกหักได้เป็นอย่างดี โดยการตอกกระดูกจมูก และการเย็บปรับแต่งให้ผนังกั้นจมูกตรงขึ้น 
ข้อเสีย
  • เป็นการผ่าตัดที่มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากมีความซับซ้อน
  • ใช้เวลาพักฟื้นนาน 
  • อาจมีแผลผ่าตัดภายนอกที่มองเห็นได้บริเวณด้านหน้าจมูก ( Columellar incision )
  • เป็นการผ่าตัดที่ต้องทำโดยแพทย์มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญเท่านั้น
  • ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 3 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความยากง่ายในแต่ละเคส)

เสริมจมูกแบบปิด ข้อดี – ข้อเสีย

ข้อดี
  • มีราคาถูกกว่าการเสริมจมูกแบบเปิด
  • ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นด้านนอก
  • การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก บวมช้ำน้อย พักฟื้นสั้น 
  • เป็นเทคนิคการผ่าตัดที่ไม่ซับซ้อนมาก ใช้เวลาไม่นาน
  • ไม่จำเป็นต้องวางยาสลบ ใช้วิธีการฉีดยาชาเฉพาะที่
ข้อเสีย
  • แพทย์ไม่สามารถปรับโครงสร้างจมูกจากภายในได้ เนื่องจากเป็นการผ่าตัดโดยการเปิดแผลจากภายใน
  • มีโอกาสที่จมูกจะเบี้ยว ซิลิโคนทะลุเนื่องจากเนื้อจมูกบางลง และติดเชื้อง่ายกว่าการเสริมจมูกแบบเปิด
  • ไม่เหมาะสำหรับคนที่มีจมูกสั้นมาก ๆ หรือคนที่มีเนื้อจมูกน้อย
  • ไม่สามารถลดขนาดจมูก สันจมูก ให้เล็กลงได้ หรือทำทรงจมูกที่มีความโด่งพุ่งมาก ๆ (ขึ้นอยู่กับกำลังของเนื้อเยื่อจมูก)

เลือกทรงจมูกอย่างไร ให้เหมาะกับใบหน้า

การเลือกทรงจมูกให้เข้ากับใบหน้าถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราtหากทำมาแล้วไม่ถูกใจ ไม่สมดุลกับใบหน้า ไม่รับกับหน้าผาก ก็ต้องเสียเวลาแก้จมูกใหม่ ที่สำคัญเลยคือทำให้เราเสียความมั่นใจได้ สำหรับการเลือกทรงจมูกให้เข้ากับใบหน้า ควรพิจารณาตามรายละเอียดดังนี้ 

ทรงจมูกที่สมดุลกับใบหน้า โดยใช้วัสดุกระดูกอ่อน

ทรงจมูกที่สมดุลกับใบหน้า โดยใช้วัสดุซิลิโคน

ทรงจมูกที่นิยม ที่ทำออกมาแล้วสวยเป็นธรรมชาติ 2022

แน่นอนว่าทรงจมูกที่ได้รับความนิยมและถูก request มากเป็นอันดับต้น ๆ คงหนีไม่พ้นทรงจมูกของดาราแนวหน้าอย่าง ใหม่ ดาวิกา ที่มีทรงจมูกออกไปทางสายฝอ, เก้า สุภัสสรา มีจมูกทรงหยดน้ำ ที่เป็นสาวหวาน, ออม สุชา จะมีปลายจมูกเชิด ทำให้หน้าดูเด็ก สดใส หรือ วิว วรรณรท ที่มีทรงจมูกสโลป ปลายพุ่ง สไตล์เกาหลี

1.ทรงหยดน้ำ

จมูกทรงหยดน้ำ ยังคงเป็นทรงจมูกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทั้งในดาราไทยและไอดอลเกาหลี จมูกทรงหยดน้ำจะเป็นการเสริมหรือแต่งปลายจมูกให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ทำให้มีรูปทรงปลายจมูกคล้ายหยดน้ำ เหมาะกับคนที่มีรูปจมูกยาวพอเหมาะและปลายจมูกมีเนื้อหนาพอสมควร แต่หากใครที่มีเนื้อจมูกน้อยก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยการนำกระดูกอ่อนหลังใบหูของเรามาเติมที่ปลายจมูก เพื่อไม่ให้ปลายจมูกบางและเกิดการทะลุของซิลิโคน

2. ทรงสโลป

จมูกทรงสโลป หรือทรง Nature Look เป็นทรงที่ทำออกมาแล้วจมูกจะมีความโด่ง ดูเป็นธรรมชาติ ใครที่อยากเสริมจมูก แต่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเสริมจมูกมา ทรงนี้ถือว่าตอบโจทย์ มาก ๆ  เพราะเป็นทรงที่ปรับให้จมูกเข้ากับรูปของหน้าผาก มีความโด่งเป็นสัน มีปลายจมูกที่พุ่ง เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อปลายจมูกค่อนข้างมาก

3. ทรงบาร์บี้ไลน์

ชื่อก็บอกอยู่โต้ง ๆ ว่าทรงบาร์บี้ ใครที่มีความฝันในวัยเด็กว่าอยากสวยเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้สายฝอ ยินดีด้วย ความฝันคุณเป็นจริงแล้ว เพราะทรงนี้จมูกจะมีสันสูงเหมือนฝรั่ง ส่วนปลายจมูกจะเชิดขึ้นเล็กน้อย ทำให้จมูกดูยาว แต่ก็ยังคงความเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนที่จมูกแบน จมูกงอ งุ้ม 

4. ทรง Sweetie

จมูกทรง Sweetie เป็นทรงจมูกที่เน้นสันจมูกให้ดูคม ปลายจมูก ยาวแหลมและเชิดออกมาเหมือนฝรั่ง ใครที่ชอบแนวสายฝอ ทรงนี้ถือว่าตอบโจทย์มาก ๆ  จมูกทรง Sweetie เหมาะกับคนที่มีจมูกสั้นและปลายจมูกทู่แบน  หรือคนที่มีเนื้อบริเวณปลายจมูกค่อนข้างมาก เพื่อความพุ่งของซิลิโคนและจะทำให้ซิลิโคนไม่ทะลุ  

5. ทรง Dolly Nose

จมูกทรง Dolly Nose  ถือเป็นทรงจมูกมาตรฐานที่ใคร ๆ ก็ทำได้ เหมาะสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะมีเนื้อจมูกน้อย, จมูกแบน งอ เพราะเป็นทรงที่ทำง่ายกว่าทรงอื่น ๆ เน้นความเป็นธรรมชาติ ปลายจมูกไม่เชิดสูงมาก แค่เพิ่มจมูกให้มีสันเล็กน้อย ใครที่อยากเสริมจมูกหรือเสริมจมูกครั้งแรก ทรง Dolly Nose ถือว่าเหมาะมาก 

เสริมจมูก เนื้อน้อยทำได้ไหม ?

สำหรับใครที่มีปัญหาเนื้อจมูกน้อย แต่อยากเสริมจมูกก็สามารถทำได้เช่นกัน เพียงแต่มีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น มีโอกาสจมูกทะลุมากกว่าเคสทั่วไป, ความโด่งหรือความเชิดของปลายจมูก จะทำได้เล็กน้อย จำเป็นต้องอาศัยฝีมือแพทย์ที่มีความชำนาญมาก ๆ เนื่องจากมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป

การเตรียมตัวก่อนเสริมจมูก

  • ตรวจสภาพร่างกายอย่างละเอียด และต้องแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว การแพ้ยา ยาที่รับประทานเป็นประจำ เป็นต้น 
  • หากใครที่มีความเสี่ยงต่อระบบภูมิคุ้มกันต่อร่างกาย เช่น เป็นโรคเบาหวาน, HIV, โรคไต หรือโรคที่มีความเสี่ยงต่อบาดแผลที่หายยากและติดเชื้อง่าย จะต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบก่อนทุกครั้ง 
  • งดวิตามินที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เช่น วิตามินอี, น้ำมันปลา, น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันรำข้าว, โสม, กลูโกชามีน, เมล็ดองุ่น, ใบแปะก๊วย ประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด ( หากมีโรคประจำตัวสามารถทานยาได้ปกติ ห้ามหยุดยาเอง ยกเว้นยาที่ระงับการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน , Warfarin ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ) 
  • ควรงดอาหารและน้ำ 6-8 ชม.ก่อนการผ่าตัด แต่สำหรับการผ่าตัดแบบฉีดยาเฉพาะที่ ไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหาร
  •  ควรงดสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 1-2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด เพราะสารที่อยู่ในบุหรี่จะทำลายเซลล์ที่ซ่อมแซมการหายของแผล มีผลให้เลือดมาหล่อเลี้ยงบริเวณผ่าตัดลดลง แผลจะหายช้าเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น และหากต้องทำการผ่าตัดบริเวณใบหน้าควรเลี่ยงการแต่งหน้า

ขั้นตอนการเสริมจมูก

  1. แพทย์ตรวจสภาพร่างกายและซักประวัติของคนไข้อย่างละเอียด คนไข้จะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว การแพ้ยา ยาที่รับประทานเป็นประจำ 
  2. แพทย์จะฉีดยาชาหรือยานอนหลับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของการผ่าตัดในแต่ละเคส เช่น หากใช้เทคนิคการผ่าตัดแบบเปิดจะต้องใช้การวางยานอนหลับโดยวิสัญญีแพทย์ ส่วนการผ่าตัดแบบปิดจะเป็นการฉีดยาชาเฉพาะจุดและต้องดมยาสลบให้กับคนไข้ โดยรอให้ยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 15 นาที เมื่อคนไข้หลับ เจ้าหน้าที่พาเข้าห้องผ่าตัด
  3. แพทย์จะทำการเปิดแผลโดยการใช้เทคนิคที่แตกต่างกันไปเพื่อแก้ไขตามปัญหาของแต่ละเคส ตั้งแต่การเหลาซิลิโคน การเปิดแผล ปรับโครงสร้าง ตกแต่ง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง
  4. แพทย์จะใส่ซิลิโคน หรือเนื้อเยื่อของตัวคนไข้เองตัวเอง ตามทรงจมูกที่คนไข้เลือกหรือทำตามแผนการรักษาที่แพทย์ได้ทำการประเมิน
  5. หลังจากแก้ไขจมูกเสร็จเรียบร้อย แพทย์จะทำการเย็บปิดแผล ดามเฝือกจมูก และให้ยาปฏิชีวนะ รวมเวลาในการผ่าตัดทั้งหมดประมาณ 3-5 ชั่วโมง

การดูแลตัวเองหลังเสริมจมูก

  • ใน 48 ชั่วโมงแรกแนะนำให้ประคบเย็นเพื่อลดบวม โดยใช้แผ่นเจลหรือผ้าชุบน้ำเย็นประคบนานประมาณ 20 นาที สลับกับหยุดพัก 20 นาที และหลังจาก 2 วัน สามารถเริ่มประคบอุ่นได้
  • ในช่วง 2 สัปดาห์แรกห้ามนอนคว่ำ ควรนอนยกศีรษะสูงประมาณ 30 องศา 
  • ห้ามให้แผลผ่าตัดโดนน้ำ 7 วัน คนไข้สามารถทำความสะอาดโดยใช้กระดาษซับมัน หรือใช้สำลีชุบน้ำอุ่นหมาด ๆ เช็ดทั่วใบหน้าอย่างเบามือ หลังจากนั้นสามารถล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ 
  • หากจมูกมีอาการบวมผิดปกติหรือมีเลือดออกให้มาปรึกษาแพทย์ทันที 
  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่กระทบกระเทือนต่อจมูก เช่น การออกกำลังกาย การสั่งน้ำมูก การวิ่ง การว่ายน้ำ เป็นเวลา 8 สัปดาห์ 
  • งดแอลกอฮอลล์และของหมักดองทุกชนิด 
  • หลีกเลี่ยงการสวมแว่นตาในช่วง 4 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณจมูกแรง ๆ  ห้ามกดหรือบิดจมูก เพราะจะทำให้เนื้อเยื่อบาดเจ็บและเกิดการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อผิดปกติ
  • ใช้ยารักษาแผลเป็นได้หลังจากแผลแห้งแล้วเท่านั้น โดยเริ่มใช้ได้ตั้งแต่ 10-14 วันหลังผ่าตัด

รีวิวเสริมจมูก

รีวิวเสริมจมูกครั้งแรกที่ มาสเตอร์พีซคลินิก รีวิวเสริมจมูก รีวิวเสริมจมูกผู้ชาย รีวิวความประทับใจหลังเสริมจมูกที่มาสเตอร์พีซคลินิก

เสริมจมูกเจ็บไหม ?

ปกติการเสริมจมูกจะมีการฉีดยาชาเฉพาะที่หรือบางเคสมีการดมยาสลบอยู่แล้ว ขณะเสริมจมูกจึงไม่มีความเจ็บ คนที่ดมยาสลบจะไม่รู้สึกตัว แต่หลังจากยาชาหมดฤทธิ์จะมีอาการเจ็บตามมา สามารถทานยาแก้ปวดตามแพทย์สั่ง เพื่อบรรเทาอาการได้

เสริมจมูกใช้เวลาพักฟื้นกี่วัน ?

ปกติหลังเสริมจมูก จะใช้เวลาในการพักฟื้น 5-7 วัน และต้องนัดติดตามผลและตัดไหม รวม ๆ แล้วอาจจะใช้เวลาพักฟื้นเพื่อให้รอยช้ำต่าง ๆ จางลงประมาณ 7-14 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละเคส

ฉีดฟิลเลอร์จมูก แล้วมาเสริมจมูกได้ไหม ?

หากเคยฉีดฟิลเลอร์จมูกแล้ว อยากเสริมจมูกจมูกก็สามารถทำได้ แต่แพทย์จะต้องทำการเลาะฟิลเลอร์ออกก่อน เพื่อให้ซิลิโคนยึดเกาะจมูกได้ดีขึ้น 

แผลเสริมจมูกกี่วันเข้าที่ กี่วันหายบวม ?

หลังเสริมจมูกจะะเข้าที่ประมาณ 3 เดือนขึ้นไป ใน 1 สัปดาห์จะยุบบวมประมาณ 60%, 1 เดือนยุบบวม 80%, ยุบบวมและเข้าที่ 90% – 100% ใน 3 – 6 เดือน

หลังเสริมจมูกห้ามกินอะไร หลัง 1 เดือนกินอะไรได้บ้าง ?

หลังเสริมจมูกควรงดอาหารที่มีรสจัด อาหารหมักดอง อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารทะเลในบางราย รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  เพราะจะส่งผลให้แผลหายช้าหรือเกิดการติดเชื้อได้ หลังเสริมจมูก 1 เดือนแล้วสามารถทานอาหารได้ตามปก ขอบคุณข้อมูล