เลเซอร์รอยสิว
ปัญหาสิวบนใบหน้า คือปัญหาผิวพรรณที่วัยรุ่นหนุ่มสาวต้องพบเจอกันแทบทุกคน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย แถมเมื่อสิวหายไปแล้วก็ยังอุตส่าห์ทิ้งร่องรอยสิวไว้บนใบหน้าของเราอีกด้วย ร่องรอยที่ว่าก็คือ รอยแดงและรอยดำจากสิว ที่ทำให้ผิวหน้าดูกระดำกระด่าง ไม่ขาวเนียนใสเหมือนผิวเด็ก ทำให้ต้องใช้คอนซีลเลอร์หรือครีมรองพื้นโบกเพื่อปิดทับรอยสิวให้ดูจางลงเมื่อยามแต่งหน้าออกจากบ้าน
เลเซอร์รอยสิว จึงเป็นสิ่งที่คนเป็นสิวต่างนึกถึง และคาดหวังว่าเลเซอร์จะสามารถช่วยลดรอยแผลเป็น รอยแดง รอยดำ จากสิวให้ดีขึ้น และจางลงจนแทบมองไม่เห็น วันนี้เรามาศึกษาข้อมูลกันค่ะว่าจะมีการรักษา รวมทั้งมีเลเซอร์ชนิดใดบ้าง ที่จะสามารถช่วยลดรอยสิวบนใบหน้าของเราได้อย่างแนบเนียน
รอยดำ รอยแดงจากสิว เกิดจากอะไร
รอยดำ รอยแดงจากสิว มักเกิดจากสิวอักเสบ (Postinflammatory Pigmentation) เมื่อผิวหน้าเกิดสิวอักเสบขึ้น จะส่งผลให้ผิวหนังบริเวณที่เป็นสิวอักเสบจะมีสีผิวที่เปลี่ยนแปลงไป เริ่มจากเกิดเป็นรอยแดงก่อนในช่วงแรก และต่อมารอยแดงก็ค่อยๆ กลายเป็นสีคล้ำมากขึ้นจนกลายเป็นรอยดำ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วรอยดำมักจะพบได้ในผู้ที่มีพื้นผิวสีคล้ำมากกว่าคนผิวขาว
ซึ่งรอยแดง รอยดำจากสิวนั้นมักจะใช้เวลานานถึง 6 – 12 เดือน สีผิวบริเวณนั้นจึงจะค่อย ๆ จางลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมของแต่ละคนที่หายช้าเร็วแตกต่างกันไปด้วยค่ะ และขึ้นอยู่กับลักษณะของรอยแผลสิวด้วยว่าดำมากหรือน้อย, รวมถึงอายุของคนไข้ ถ้าเป็นรอยดำในผู้ใหญ่ก็จะจางหายช้ากว่าในเด็กวัยรุ่น ดังนั้นการป้องกันก่อนที่จะเกิดรอยดำจึงดีที่สุด
เลเซอร์รอยสิว และวิธีการดูแลรักษารอยสิว ที่ไหนดี ราคาแพงไหม?
รูปภาพจาก : https://www.petalslaserlounge.com/
การรักษารอยแดง รอยดำจากสิว มีด้วยกันหลายวิธี ในบางคนอาจยังไม่สะดวกทั้งในเรื่องเวลาและงบประมาณจึงอาจใช้วิธีดูแลรักษารอยสิวด้วยวิธีเบื้องต้นดูก่อน เมื่อพร้อมแล้วจึงเข้ารับการรักษาด้วยวิธีเลเซอร์รอยสิว เป็นลำดับถัดไป ซึ่งราคาของเลเซอร์รอยสิวของคลินิคแต่ละที่จะแตกต่างกันไปตามเครื่องมือที่ใช้ จึงควรเข้าไปปรึกษาคุณหมอและเปรียบเทียบราคาดูก่อนที่ตัดสินใจทำค่ะ ซึ่งวิธีการต่าง ๆ มีดังนี้
ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อรักษารอยสิวโดยวิธีการทายาลบรอยสิว และรับประทานยาเพื่อลดปริมาณเม็ดสี
เพื่อให้สีของรอยดำดูจางลง ทั้งนี้การทายาและกินยาควรอยู่ภายใต้การรักษาและคำแนะนำโดยแพทย์เฉพาะทางผิวหนังเท่านั้น
รักษาด้วยการทำทรีตเมนต์เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว
เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพในชั้นหนังกำพร้าหลุดออกไปและเพื่อช่วยลดปริมาณเม็ดสีเมลานินที่ใต้ผิวหนัง ทั้งนี้แพทย์ผิวหนังจะเป็นผู้ประเมินการว่าควรใช้วิตามินชนิดใดบ้าง และวิเคราะห์สภาพผิวของคนไข้ก่อนทำการรักษาด้วยทรีทเมนต์
รักษารอยสิวด้วย Pulsed Dye Laser
ซึ่งเป็นเลเซอร์ชนิดที่มีความยาวคลื่น 595 นาโนเมตร ที่มีความจำเพาะเจาะจงลงต่อเส้นเลือด ซึ่ง Pulsed Dye Laser ถูกนำมาใช้ในการรักษารอยแดง รอยดำอันเกิดจากสิว ผลการรักษาพบว่าเลเซอร์ชนิดนี้จะช่วยให้รอยแดงและรอยดำจากสิวจางลงได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลการทำเลเซอร์ Pulsed Dye Laser เพื่อลดรอยสิว จาก Youtube Channel : Ohio State Wexner Medical Center
รักษารอยสิวด้วย IPL (Intense Pulse Light)
คือ แสงที่มีช่วงคลื่นที่กว้างกว่าเลเซอร์ โดย IPL มีความยาวคลื่นเริ่มตั้งแต่ 420 นาโนเมตร ไปจนถึง 1200 นาโนเมตร จึงใช้ IPL ในการรักษาปัญหาของผิวได้หลายอย่าง เรียกได้ว่าครอบคลุมหลายปัญหาของผิวหน้าในการทำครั้งเดียวเพราะปัญหาผิวประเภทต่างๆ บนใบหน้า อาทิเช่น ปัญหาด้านริ้วรอยแห่งวัย รูขุมขนกว้าง จุดด่างดำ สิว ฝ้า กระ รอยดำ รอยแดงต่าง ๆ จะต้องใช้ความยาวคลื่นที่ไม่เท่ากัน ซึ่งปัญหาผิวหน้าเหล่านี้สามารถรักษาได้ในช่วงคลื่นของแสง IPL ซึ่งมีความเข้มข้นของแสงน้อยกว่าเลเซอร์ IPL เป็นการยิงลำแสงผ่านเข้าไปยังชั้นผิวหนัง จึงไปทำปฏิกิริยากับเซลล์เม็ดสีดำ ทำการช่วยกระตุ้นคอลลาเจนในบริเวณใต้ชั้นผิวที่เกิดรอยดำจากสิว ช่วยให้ผิวดูขาวกระจ่างใสยิ่งขึ้นอีกด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลการทำ IPL เพื่อลดรอยสิว จาก Youtube Channel : SariReanna
รักษารอยสิวด้วย YAG Laser (Yttrium-Aluminum Garnet Laser)
เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการปรับสภาพผิวอีกชนิดหนึ่ง โดยใช้กระบวนการปล่อยแสงในคลื่นความถี่ที่พอสม เข้าไปยังรอยแดง รอยดำที่อยู่ลึกบริเวณข้างในชั้นผิวหนังขนาดเล็ก ซึ่งสามารถช่วยลดรอยสิวได้ทั้งรอยแดงและรอยดำ และยังช่วยกระตุ้นให้หลุมสิวตื้นขึ้นได้อีกด้วยราคาอาจค่อนข้างแพง แต่ได้ผลดีคือยิงเพียงครั้งเดียวรอยดำจากสิวก็จางลงแล้ว
วิธีการดูแลรักษารอยแดง รอยดำ และการทำเลเซอร์รอยสิว อาจจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน เนื่องจากสภาพผิวหน้าของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน จึงควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญในการทำเลเซอร์รอยสิวก่อนตัดสินใจทำ รวมทั้งควรดูแลและป้องกันการเกิดสิวใหม่ เพราะการป้องกันการเกิดสิวย่อมง่ายกว่าการรักษารอยสิวในภายหลังค่ะ